นกจัดเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่มีกระดูกสันหลัง ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้าเปลี่ยนแปลงเป็นปีก มีขนปกคลุมลำตัว
ในปัจจุบัน ทั่วโลกมีนกประมาณ 8,000 – 9,000 ชนิด กินอาหาร
แทบทุกชนิด เช่น พืช แมลง สัตว์จำพวกหนู หรือกิ้งก่า หรือสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ นกจึงจัดเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อระบบนิเวศ แต่ในขณะเดียวกันนกก็สร้างปัญหาต่างๆด้วย เช่นกัน โดยเฉพาะนกพิราบ
นกพิราบ
นกพิราบ จัดเป็นนกที่มีขนาดเล็ก – กลาง ความยาวจากปลายปาก
จดหางประมาณ 21 – 45 ซม. หัว คอ และอกเป็นสีเทาแกมน้ำเงิน, หลังและท้องสีเทา ปีกยาว สีเทามีลายแถบสีดำ หางสีเทา ปลายหางสีดำ ขนคลุมปีกด้านล่างสีขาว ขนไม่มีแกน ปลายปีกแหลม ปากสีดำเรียว บริเวณโคนปาก อ่อนและบวมโต ตรงกลางปากคอด รูจมูกมีฝามูก ซึ่งเป็นโครงสร้างคล้ายกระดูกอ่อน
อาหาร
อาหารส่วนใหญ่ของนกพิราบ ได้แก่ เมล็ดธัญพืช รวมทั้งแมลง สัตว์จำพวนหนู หรือกิ้งก่า หรือสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ
การผสมพันธุ์
นกพิราบ ผสมพันธุ์ได้เกือบตลอดทั้งปี แต่พบมากในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม และสามารถจับคู่ผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กันความสมบูรณ์และสภาพแวดล้อม ตัวเมียจะวางไข่ครอกละ 2 ฟอง หลังผสมพันธุ์แล้วประมาณ 10 วัน และประมาณ 18 วันลูกนกจะฟักออกจากไข่ นกพิราบ 1 คู่ จะสามารถแพร่พันธุ์ ภายใน 1 ปี ได้รุ่นลูกรุ่นหลานประมาณ 40 ตัว นกพิราบ มักผสมพันธ์กับนกที่มีขนาดใกล้เคียงกันในวงศ์เดียวกัน ทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่มากมายที่มีสีสันแตกต่างจากเดิมมากบ้างน้อยบ้าง
นิสัยประจำชนิด
นกพิราบ สืบสายพันธุ์มาจากนกที่อยู่ตามผาหิน ตามท้องไร่ท้องนา ซึ่งต่อมาได้ปรับตัวเข้ามาอยู่ในเมือง จึงมักทำรังบนพื้นแข็งที่เป็นช่องหรือซอก เช่น ใต้ชายคาบ้าน ใต้หลังคาหรือซอกอาคาร ของโบสถ์ วิหาร และชอบอยู่เป็นฝูงและจะเลือกที่ๆปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวมันเองเพราะในตัวของนกพิราบนั้นจะมีเชื้อโรคอยู่เป็นจำนวนมากดังนั้นบริเวณที่นกอาศัยอยู่จึงเต็มไปด้วยเชื้อโรคเช่นเดียวกัน
ปัญหาที่เกิดจากนก
จากข้อมูลดังกล่าวพบว่าในปัจจุบันปัญหาเรื่องนกได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ในบางแห่งนกได้สร้างความเสียหายให้กับ โครงสร้างต่างๆของอาคาร สินค้า และนำพาเชื้อโรคต่างๆมาสู่มนุษย์และสัตว์อีกด้วย ดังนี้
- สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างของอาคาร รวมทั้งสินค้าบางชนิด
- สร้างความเสียหายให้กับผลิตผลทางการเกษตร
- สร้างความสกปรกให้กับอาคารบ้านเรือน ซึ่งหากปล่อยไว้ จะเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็ว นิสัยของนกพิราบนั้นรักที่อยู่อาศัย และจะชักชวนนกตัวอื่นๆ ให้มาอยู่เพิ่มขึ้น เนื่องจากรู้สึกปลอดภัย
- เป็นพาหะ ซึ่งจะทำให้เกิดโรคต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไขหวัดนก, โรคไวรัสตับอักเสบบี, โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, โรคปอดอักเสบเฉียบพลัน, โรคปอดบวม โรคกาฬหลังแอ่น ฯลฯ
- เป็นพาหะนำเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส
- เป็นพาหะนำแมลง เช่น ตัวไร หมัด
- เป็นพาหะนำพยาธิ
- เสียค่าใช้จ่ายและแรงงานในการทำความสะอาด
- ก่อให้เกิดความรำคาญให้กับผู้อยู่อาศัย
วิธีป้องกันและกำจัดนก
- วิธีปิดกั้นด้วยตาข่าย, ตะแกรง หรือขึงเอ็น จะต้องปิดกั้นทุกทิศทุกทาง
- แต่อาจนกยังสามารถเกาะหรือถ่ายมูลในพื้นที่ได้
- วิธีการใช้เสียงต่างๆ โดยเสียงทำให้เกิดแรงอัดอากาศจนสั่นสะเทือน ซึ่งนกสามารถปรับตัวได้
- วิธีการใช้กลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นเม็ดองุ่น ,การบูร, พิมเสน, แน็พเธอร์ลีนซึ่งมีข้อจำกัดที่สารต่างๆ ไม่สารมารทนต่อแสงหรืออุณหภูมิที่สูงขึ้นได้
- วิธีการใช้สิ่งกีดขวางที่มีความคม เช่น เศษแก้ว เข็ม ลวดสนาม โดยต้องใช้ชนิดที่มีความคงทน และอาจไม่สามารถป้องกันนกชนิดเล็กๆ ได้
- วิธีการวางยา โดยอาจทำได้ครั้งเดียว นกสามารถเรียนรู้ได้ และนกที่ตายอาจส่งกลิ่นเหม็น เช่น การใช้สมุนไพรกวาวเครือขาว (Pueraria mirifica A.Shaw & vu) ซึ่งเป็นสมุนไพรใช้ผสมอาหารสำหรับคุมกำเนิดนกพิราบ
- การใช้สิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น หุ่นจำลอง, ลูกโป่งจำลอง ซึ่งไม่ทำอันตรายนก นกจะเรียนรู้และไม่กลัว เหมาะสำหรับพื้นที่เล็กๆ เช่นระเบียง หรือสวน
- วิธีการใช้แสงสะท้อนต่างๆ หากไม่สามารถทำอันตรายให้กับนกโดยตรง แต่นกจะเกิดความรำคาญ ซึ่งนกจะเกิดการเรียนรู้และเกิดความเคยชิน โดยหากต้องการให้ได้ผลควรใช้แสงเลเซอร์อนุภาพสูง(ใช้กันตามสนามบิน) ที่มีราคาสูงมาก
- วิธีการใช้สัตว์จริงในการขับไล่นก โดยต้องมีการฝึกฝนเป็นระยะและใช้ระยะเวลานานไม่ทันต่อความต้องการ รวมทั้งสัตว์อาจกินนก หากเกิดการติดเชื้อก็อาจทำให้สัตว์ตายได้
- การปลูกต้นไม้ เพื่อบังคับทิศทางลม เนื่องจากนกพิราบ มักจะหาที่อยู่ที่ปลอดภัย ดังนั้นจุดที่ไม่สามารถมองเห็นอันตรายจากภายนอก นกจะไม่ใช้เป็นที่อยู่
- การใช้เอ็นไนล่อน สีส้ม โดยต้องขึงปิดให้ระยะห่างของเอ็นน้อยกว่าตัวนก และต้องมีระยะห่างที่เหมาะสมเพื่อป้องกันนกโฉบ ใช้กันมากบริเวณบ่อเลี้ยงปลา
- วิธีการใช้กาว เรซิ่น จารบี หรือวัสดุอื่นๆ ที่มีลักษณะเหนียว ซึ่งนกจะเรียนรู้ และนำกิ่งไม้มาทับ หรือถ่ายมูลทับ รวมทั้งสารต่างๆ อาจไหลเยิ้มหรือแห้งตัว ทำให้เกิดความสกปรก หรือติดในพื้นที่ที่ไม่ต้องการ ยากต่อการทำความสะอาด และสภาพอุณหภูมิอาจทำให้ประสิทธิภาพน้อยลง ดังนั้นหากต้องการใช้วิธีนี้ ควรใช้เป็นชนิดมีใยโดยหากมีนกเกาะใยจะพันตามอวัยวะต่างๆ ทำให้นกเสียสมดุลในการบิน นกจะเข็ดและกลัวไม่กล้ากลับมาอีก
- จากวิธืการแก้ปัญหาที่เกิดจากนกดังที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าไม่ได้แก้ปัญหาจากต้นเหตุนกจึงสามารถปรับตัวและยังสามารถอยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวได้อีกด้วย ดังนั้นการแก้ปัญหานกที่ถูกวิธีนั้นควร เริ่มจากการตัดวงจรชีวิตของนก เช่น การตัดวงจรที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร ต่างๆจนทำให้นกย้ายไปอยู่ที่อื่นเมื่อไม่มีนกแล้วควรเลือกวิธีที่สามารถป้องกันนกไม่ให้ปรับตัวและกลับมาอาศัยอยู่ที่เดิมได้อีก